วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

แนะโปรแกรมพื้นฐานที่ควรมีในคอมพิวเตอร์



แนะโปรแกรมพื้นฐานที่ควรมีในคอมพิวเตอร์
                นับตั้งแต่วันที่ 14  พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไปทาง Micorsoft ได้ยุติการให้การ update Windows XP ทำให้หลาย ๆ ท่านที่ใช้ Windows XP อยู่อาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้ Windows รุ่นอื่น ๆ เช่น Windows 8, Windows 8.1 เป็นต้น             ซึ่งจำนวนผู้ใช้งาน Windows XP ถือได้ว่ามากที่สุด และกลุ่มผู้ใช้งานหลัก ๆ ยังใช้อยู่ตามองค์กรหรือหน่วยธุรกิจต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย  และอาจจะต้องมีการ Update ให้ Windows ให้ทันสมัยกับการใช้งาน
                ผมจึงขอแนะนำโปรแกรมพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับท่านที่ลง Windows ใหม่ โดยผู้เขียนส่งเสริมการใช้ Software ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง หรือ ของฟรีเท่านั้น ไม่สนันสนุนโปรแกรม Crack นะครับ สำหรับบางโปรแกรมจะมีอายุใช้งานจำกัด ถ้าสนใจก็ซื้อลิขสิทธิ์ให้ถูกต้องนะครับ  โปรแกรมที่แนะนำมีดังนี้
                1. Anti-virus และ Anti spyware ในคอมพิวเตอร์ทุก ๆ เครื่องควรมีโปรกรม Antivirus และ Anti spyware ติดเครื่องเพื่อป้องกันไวรัส หนอนข้อมูล ฯลฯ ที่ทำให้เกิดปัญหาต่าง ได้
                โปรแกรม Anti-Virus ที่ขอแนะนำ เช่น Eset Nod32, Avira Antivir, Kerparsky, AVG, McAfee, Norton
                โปรแกรม Anti Spyware ที่แนะนำ เช่น Ad-aware, Malwarebytes

                2.Microsoft Office โปรแกรมพื้นฐานที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว ซึ่งมีทั้ง MS word, Powerpoint, Excel และอื่นๆอีกมากมาย หรือจะเลือกอีกทางเลือกหนึ่งเป็นโปรแกรม Office ประเภทฟรีแวร์ที่สามารถใช้งานได้ดีไม่แพ้กันและได้มีหลายหน่วยงาน/องค์กรได้นำไปใช้ทดแทน Microsoft Office คือ โปรแกรม Open Office ที่สำคัญคือ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และการใช้งานจะคล้าย ๆ กับของค่ายไมโครซอฟท์
                3.โปรแกรมดูหนัง ฟังเพลง เพื่อความบันเทิงต่างๆ เช่น Winamp, VLC (Video LAN), Jet Audio
                4.โปรแกรมดูรูปภาพ ตกแต่งรูปภาพ ถ้าใครเป็นนักแต่งภาพต้องมีโปรแกรมชนิดนี้ เช่น Photoscape
                5. Adobe Acrobat, Foxit Reader  โปรแกรมอ่านไฟล์ตระกูล PDF
                6. Winzip, 7-Zip, Winrar โปรแกรมช่วยบีบอัดข้อมูลให้มีขนาดเล็กลง
                7. โปรแกรม Write CD-DVD หรือจัดการกับ CD-DVD ต่างๆ เช่น Nero, Ashampoo, BurnAware Free
                8. Web Browser โปรแกรมท่องโลกอินเตอร์เน็ต ที่ใช้ทดแทน Internet Explorer ซึ่งไม่สนับสนุนการใช้งานในบางเว็บไซต์ โดยโปรแกรม Web Browser ที่ควรจะมีเพิ่มเติม Google Chrome, Mozila Firefox, Safari
                9. CPE17 Autorun Killer (AntiAutorun) ดูแลป้องกัน การคุกคามของไวรัสจาก Flash Drive หรือ Thumb Drive ป้องกันการ Auto Run ของโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์
                10. iTunes สำหรับสาวกค่าย Apple
                11. Line PC โปรแกรมแชท LINE บน PC คุยหน้าคอมฯ สะดวกกว่าบนมือถือเยอะ
                12. You Tube Download โปรแกรมโหลดคลิปจาก Youtube.com และเว็บวีดีโออื่นๆ มาเก็บลงไว้บนเครื่องของคุณง่ายๆ พร้อมแปลงไฟล์ แถมได้คุณภาพแบบ HD

สำหรับโปรแกรมที่ไม่แนะนำให้ติดตั้ง
ซึ่งทำให้เครื่องทำงานช้าลงหรือเป็นโปรแกรมที่ไม่ปลอดภัย พวกนี้จะแฝงมากับการเล่นอินเตอร์เน็ต หรือการ Download โปรแกรมต่าง ๆ อาทิเช่น
                - Baidu pc faster และโปรแกรมของค่าย Baidu ทั้งหลาย (ทดลองใช้ไม่ได้ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้เครื่องช้าลงอีกต่างหาก)
                - เครื่องมือจำพวก toolbar ต่าง ๆ เช่น ASK Toolbar
                - ไฟล์หรือโปรแกรมช่วย Crack ต่าง ๆ  จะมีพวกไวรัส ตัวหนอน ฯลฯ ติดมาด้วย

ข้อแนะนำเพิ่มเติม
1. ควรหมั่น Update Anti Virus, Anti spyware เป็นประจำ รวมถึงการแสกนอย่างสม่ำเสมอ
2. ควรทำการ Disk Cleanup และ Disk Defragmenter เป็นประจำ
3. ไม่ควรดาว์นโหลดโปรแกรมที่ไม่รู้จัก หรือไม่ควรเข้าเว็ปไซต์ที่ไม่รู้จัก
4. ก่อนติดตั้งโปรแกรมและระหว่างการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ควรอ่านให้ครบถ้วนก่อนเลือกตกลงในการติดตั้งตามขั้นตอนต่าง ๆ เพราะมีโปรแกรมขยะจำน่ารังเกียจจำนวนมากอาศัยช่องว่างในขั้นตอนนี้เพื่อติดตั้งโปรแกรมโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือความสะเพร่าของผู้ติดตั้งที่ไม่นิยมอ่านหรือเลือกการติดตั้งโปรแกรมอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่งั้นจะได้โปรแกรมขยะมาอย่างไม่ตั้งใจ
5. ควรใช้โปรแกรมของแท้หรือโปรแกรมลิขสิทธิ์ ไม่ควรใช้โปรแกรม Crack หรือโปรแกรมที่ Modify มาแล้ว เพราะจะทำให้มีปัญหาการใช้งานในภายหลัง
6. บำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์โดยนำไปเป่าฝุ่นที่อยู่ภายในเครื่อง จะช่วยยืดอายุการใช้งานเครื่องได้อีกด้วย (ก่อนเป่าฝุ่นควรนำมือจับใบพัดลมก่อนเป่าฝุ่นทุกครั้งเพื่อป้องกันใบพัดแตก)
เพียงเท่านี้จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมช่วยปรับแต่งอะไรเพิ่มเติม
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวและจากประสบการณ์การใช้งานจริงของผู้เขียนที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ให้กับที่บริษัทที่ทำงานอยู่กว่าร้อยเครื่อง
ขอบคุณครับ (/\)

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

5 ทักษะ/คุณสมบัติที่ควรมีในการทำงานยุค AEC

5 ทักษะ/คุณสมบัติที่ควรมีในการทำงานยุค AEC

จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ดูแลรับผิดชอบทางด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยตรง
และได้รับทราบข้อมูลความต้องการต่าง ๆ จากระดับหัวหน้างาน ฝ่ายทรัพยากรบุคคล จากเจ้าของกิจการต่าง ๆ และจากประสบการณ์โดยตรง จึงขอสรุปโดยรวมดังนี้

1. การศึกษาและการพัฒนาความรู้
- ระดับการศึกษาซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาในปัจจุบัน ซึ่งองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญในการคัดเลือกบุคลากรและพัฒนาทักษะให้เหมาะสมกับการแข่งขันในปัจจุบัน เราจะมามองเพียงการศึกษาในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอแล้ว ไม่ใช่จะมีเพียงแต่ใบปริญญาบัตรเท่านั้น ในปัจจุบันมีไม่เพียงพอเสียแล้ว จะต้องมีการพิจารณาเปรียบการศึกษากับประเทศเพื่อนบ้าน และศึกษาเพิ่มเติมในแต่ละด้านให้เหมาะสมกับลักษณะงานและองค์กรทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ เช่น ความรู้ทางด้านระบบมาตราฐาน ISO, SA, GMP, HACCP, BRC, HALAL, กฏหมายและวัฒนธรรมของชาวต่างประเทศที่ติดต่อด้วย เป็นต้น
 

2. ภาษาต่างประเทศ
 - ในยุคปัจจุบันการสื่อสารเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ต้องบอกท่าน ๆ ก็รู้ถึงความสำคัญ โดยในชีวิตประจำวันจะต้องมีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่าง ๆ ทั้งการติดต่อสื่อสารเพื่อการดำรงชีพ, การทำงาน และการติดต่อธูรกิจ ซึ่งในสังคมปัจจุบันมีชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา หลายภาษา เข้ามายังประเทศไทย ดังนั้น จะต้องมีการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาที่ 2 และที่ 3


3. ความสามารถทางเทคโนโลยี
- ในสมัยก่อนการค้าขายไม่ได้ใช้เทคโนโลยีช่วยในการดำเนินธุรกิจสักเท่าไหร่ อาแป๊ะ อาม่า ก็ยังสามารถขายของได้ แต่เนื่องจากในปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างสูงและใช้อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรที่ทันสมัย
   ดังนั้น ถ้าไม่มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีก็จะทำให้ไม่สามารถแข่งขันและทำธุรกิจได้อย่างเหมาะสม เช่น อินเตอร์เน็ต, อีเมล์, สมาร์ทโฟน ตลอดจนการเรียนรู้และยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีไปพร้อมกัน


4. การเดินทาง
- เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการส่งเสริมการลงทุนในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ และได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุน จากเดิมเน้นการลงทุนในตัวเมืองเป็นหลัก ปัจจุบันมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน นักลงทุนส่วนใหญ่จึงย้ายภาคฐานการผลิตและการให้บริหารไปยังต่างจังหวัด ตลอดจนมีการไปลงทุนยังเขตแนวชายแดนและยังประเทศเพื่อบ้าน รวมถึงการเปิด AEC จึงทำให้จะต้องมีการติดต่อสื่อสารการเดินทาง ตลอดการขนส่งสินค้าไปยังที่ต่าง ๆ นั้นสะดวกและคลอบคลุมทั่วโลกยิ่งขึ้น
   ดังนั้น จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งของผู้ที่ทำงานและผู้ประกอบธุรกิจจะต้องเตรียมความพร้อมในการเดินทางทั้งการเดินทาง และทีพักอาศัยไว้ให้พร้อมเพื่อการแข่งขันในการทำงานและการทำธุรกิจ

5. วัฒนธรรมและศาสนาต่างประเทศ
- ควรมีการศึกษาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและศาสนาของชาวต่างประเทศที่จะต้องติดต่อประสานงานด้วย ซึ่งบางเรื่องที่ท่านเช่น วัฒนธรรมการรับประทานอาหาร, การสื่อสารทางมือ และความต่างของศาสนา
จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน และเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะสร้างความประทับใจในการทำงานได้เป็นอย่างยิ่ง




แนวความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร กับสู่การนำไปใช้ปฏิบัติ

แนวความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร(CSR) กับสู่การนำไปใช้ปฏิบัติ


             








 Corporate Social Responsibility (CSR) หมายถึง ความรับผิดชอบต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อมขององค์กร ซึ่งคือการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดี





จากแนวความคิดด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรจาก Carroll  และ Buchholz (1999)   ได้ให้แนวคิดไว้ว่า สำหรับความรับผิดชอบต่อสังคมได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบธุรกิจที่มีคุณธรรม โดยผู้ประกอบธุรกิจเหล่านั้นได้ยอมรับว่าความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจจะเป็นทางที่นำไปสู่การยอมรับทางสังคม ซึ่งองค์กรจะต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมใน 4 ด้านด้วยกัน คือ ความรับผิดชอบทางด้านเศรษฐกิจ(Economic), ความรับผิดชอบทางด้านกฎหมาย(Legal), ความรับผิดชอบทางด้านจริยธรรม (Ethical) และความรับผิดชอบเชิงสาธารณะประโยชน์ (Philanthropic Responsibilities)

 




            1. ความรับผิดชอบทางด้านเศรษฐกิจ (Economic)

             เดิมในอดีต องค์กรธุรกิจได้ออกแบบและสร้างสรรค์ จัดหาสินค้าและบริการให้เป็นไปตามสภาวะความเป็นจริงของสมาชิกทางสังคม โดยในขั้นแรกนั้นจะจูงใจโดยการกระตุ้นนักลงทุนก่อน(เน้นการตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น เน้นผลกำไร) เพราะองค์กรธุรกิจเป็นหน่วยธุรกิจพื้นฐานทางเศรษฐกิจสังคม ดังเช่น การผลิตสินค้าและบริการนั้นเป็นบทบาทหลักที่สำคัญที่สุดที่จำเป็นต่อผู้บริโภค และความต้องการในการยอมรับกระบวนในการสร้างผลกำไร โดยบางประเด็นทางด้านความคิดที่จูงใจโดยกำไรนั้น สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสามารถนำไปสู่ผลกำไรที่สูงสุดได้ เพราะเป็นองค์กรธุรกิจที่ตั้งอยู่บนรากฐานความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน สร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรธุรกิจได้ 


          
  2. ความรับผิดชอบทางด้านกฎหมาย (Legal)

            สังคมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถลงโทษองค์กรธุรกิจที่พยายามจะสร้างกำไรโดยการจูงใจ ในขณะเดียวกันนั้น องค์กรธุรกิจได้คาดหวังว่าจะต้องเชื่อฟังยินยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมายและบทบัญญัติที่ได้ประกาศไว้โดยรัฐบาล องค์กรธุรกิจต้องปฏิบัติตามภายใต้กฎระเบียบต่าง ๆ เหล่านั้น โดยเป็นการเติมเต็มของข้อผูกพันทางสังคมระหว่างองค์กรธุรกิจ และสังคม อีกทั้งองค์กรได้คาดหวังไว้ว่าจะต้องทำตามข้อกำหนดทางเศรษฐกิจภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยความรับผิดชอบทางด้านกฎหมายนั้นได้สะท้อนมุมามองของระบบปฏิบัติ ดังนั้นองค์กรธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม จึงต้องปฏิบัติตามภายใต้กรอบของกฎหมาย


           3. ความรับผิดชอบทางด้านจริยธรรม (Ethical)

            แม้ว่าความรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและกฎหมายได้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานทางด้าน จริยธรรมว่ามีความเกี่ยวข้องกับความซื่อสัตย์สุจริต และความยุติธรรมนั้น สังคมมีความคาดหวังต่อการยอมรับในกิจกรรมการปฏิบัติทางด้านความรับผิดชอบ ด้านจริยธรรมขององค์กรด้วย แม้ว่าความรับผิดชอบทางด้านจริยธรรมจะได้ประมวลไปสู่ความเป็นกฎหมาย แต่ความรับผิดชอบทางด้านจริยธรรมได้ชี้ให้เห็นมาตรฐาน บรรทัดฐาน หรือความคาดหวังที่สะท้อนถึงความสนใจของผู้บริโภค ลูกจ้าง ผู้ถือหุ้น และสังคมในด้านการคำนึงถึงความยุติธรรม หรือเป็นการปกป้องผู้ถือหุ้นให้อยู่ในกฎระเบียบที่ถูกต้อง

             การเปลี่ยนแปลงทางด้านจริยธรรม หรือการเห็นคุณค่าของความเป็นมาของกฎหมาย จะกลายเป็นแรงผลักดันหรือพลังขับเคลื่อนในการสร่างสรรค์ทางกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ด้านสิ่งแวดบ้อม สิทธิความเป็นพลเมืองของประเทศ และการทีผู้บริโภคได้สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในคุณประโยชน์ทางสังคม ความรับผิดชอบทางด้านจริยธรรมอาจจะเป็นการรวมเข้าด้วยกันให้มีของคุณประโยชน์และกฎเกณฑ์ทางสังคมที่องค์กรธุรกิจต้องเผชิญ แม้ว่าคุณประโยชน์และกฎเกณฑ์ทางสังคมอาจสะท้อนมาตรฐานการปฏิบัติได้สูงกว่าการยอมรับการเรียกร้องทางด่านกฎหมาย

            
  4.ความรับผิดชอบเชิงสาธารณะประโยชน์ (Philanthropic Responsibilities)

              เป็นการกระทำที่องค์กรธุรกิจให้ความช่วยเหลือหรือบริจาคเพื่อเป็นการตอบสนอง ความคาดหวังของสังคมด้วยความเป็นพลเมืองที่ดีขององค์กรธุรกิจ อาจรวมถึงกิจกรรมที่เป็นการกระทำที่สนับสนุนความผาสุกของมนุษย์หรือความ สัมพันธ์อันดีในทางธุรกิจ โดยทั้งผู้บริหารและลูกจ้างมีส่วนร่วมโดยการเป็นอาสาสมัครเพื่อร่วมช่วย เหลือสังคมท้องถิ่นหรือปรับปรุงคุณภาพชีวิตของชุมชน สังคม ให้ดีขึ้น หรือการที่องค์การธุรกิจได้มีส่วนช่วยเหลือสังคมด้วยการบริจาคเงิน การช่วยเหลือสนับสนุนงานทางด้านศิลปะ การศึกษาต่าง ๆ 
 
               ดังนั้นองค์กรธุรกิจต่าง ๆ จะต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้ง 4 ด้าน ด้วยกัน คือ ความรับผิดชอบทางด้านเศรษฐกิจ คามรับผิดชอบทางด้านกฎหมาย ความรับผิดชอบทางด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบเชิงสาธารณะ  ประโยชน์ องค์กรจะมีความรับผิดชอบต่อสังคมเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ องค์กรต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้น จึงจะทำให้องค์กรได้มีส่วนช่วยเหลือสังคม และได้รับการยอมรับจากคนในส่วนต่าง ๆ ของสังคมได้มากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างการทำ CSR ที่ประสบความสำเร็จเช่น
- SCG Eco Value นวัตกรรม สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพี่อเป็นการสร้างมูลค่า ให้แก่ผู้บริโภคและผู้ใช้บริการ โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป

- “น้ำตาลมิตรผล” Zero Waste โตอย่างยั่งยืน ที่นำ เอากากน้ำตาลหรือโมลาส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายของกระบวนการผลิตน้ำตาล มาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการทำนำมันเชื้อเพลิงตลอดจนเอาเถ่าถ่านมาทำเป็นปุ๋ย ซึ่งสามารถช่วยลดมลพิษและลดของเสียได้


7 ขั้นปรับดีกรี ซีเอสอาร์ขั้นเทพ


ขั้นแรก ขอบเขตหรือ Scope จากผู้ถือหุ้นสู่ผู้มีส่วนได้เสีย (From Shareholders to Stakeholders) เนื่องจาก สาเหตุหนึ่งที่ CSR มักไม่ได้รับการตอบสนองจากเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของกิจการ เกิดจากการมองว่า CSR เป็นกิจกรรมที่ทำให้ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นลดลง เนื่องจากกิจการต้องเจียดกำไรหรือคืนผลตอบแทนส่วนหนึ่งกลับคืนสู่สังคม ทำให้ความเข้าใจเรื่อง CSR ว่าเป็นการบริจาค (Philanthropy) และเป็นกิจกรรมที่ทำก็ต่อเมื่อมีกำไร คือเกิดขึ้นหลังจากบรรทัดสุดท้าย (คือกำไรสุทธิ) ของการดำเนินงานเท่านั้น ทำให้ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นจึงมักไม่ค่อยเป็นแฟนพันธุ์แท้ในเรื่อง CSR เท่าใดนัก

อัน ที่จริงแล้วการบริจาคเป็นเพียงหนึ่งในเจ็ดชนิดกิจกรรม CSR ที่กูรูด้านการตลาดอย่างฟิลิป คอตเลอร์ ได้ให้นิยามไว้ หรือเป็นเพียงประเด็นหนึ่งภายใต้หนึ่งในเจ็ดหัวข้อที่ (ร่าง) มาตรฐานว่าด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม (ISO 26000) ได้ระบุไว้เท่านั้น นั่นก็แสดงว่ายังมีอีกถึงหกชนิดหกหัวข้อที่กิจการสามารถดำเนินการได้ นอกเหนือจากเรื่องของการบริจาคซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ CSR

ดัง นั้น การดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมสามารถ เริ่มได้ตั้งแต่บรรทัดแรก (คือรายได้) ของการดำเนินงาน และนับตั้งแต่วันแรกของการดำเนินกิจการ ตัวอย่างเช่น การพิจารณาเรื่องวัตถุดิบในการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การคำนึงถึงแหล่งวัตถุดิบในท้องถิ่น การจัดซื้อจัดหาที่มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ การปฏิบัติด้านแรงงานที่เป็นธรรม การให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ครบถ้วนถูกต้อง การขายและการตลาดที่ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค การให้บริการและการรับประกันที่เพียงพอ เป็นต้น

'การทำ CSR ที่กล่าวมาข้างต้น มุ่งที่การคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ที่ธุรกิจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า พนักงาน ผู้ส่งมอบ คู่ค้า ฯลฯ นอกเหนือจากเรื่องชุมชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากองค์กรดำเนินธุรกิจโดยที่ไม่มีข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทกับผู้มีส่วน ได้เสียเหล่านี้ กิจการก็ย่อมจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีปฏิปักษ์ สามารถแสวงหากำไรหรือประกอบธุรกิจอยู่ได้ในสังคมอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจนั่นเอง'

ขั้นต่อมา แนวนโยบาย (Platform) ที่จำเป็นต้องปรับจากทำโดยลำพัง ไปสู่มาตรฐานสากล (From Standalone to Standard) ทั้งนี้ ธุรกิจที่ดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมมาระยะหนึ่งโดยลำพัง (Standalone) อาจมีคำถามเกิดขึ้นว่า CSR ที่ทำอยู่นั้น ดีพอแล้วหรือยัง ครบถ้วนแล้วหรือยัง หรือจะทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อีกหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับองค์กรที่แสวงหาการพัฒนาปรับปรุงตนเองอย่าง สม่ำเสมอ

ดังนั้น เมื่อองค์กรเดินเรื่อง CSR มาถึงจุดนี้ อาจจะต้องศึกษาแนวปฏิบัติหรือมาตรฐานการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่ง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป (Standard)สำหรับนำมาปรับใช้กับการทำ CSR ขององค์กร นอกเหนือจาก (ร่าง) มาตรฐานว่าด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม (ISO 26000) ที่กำหนดหลักการของความรับผิดชอบต่อสังคม การบูรณาการเรื่องซีเอสอาร์ทั่วทั้งองค์กร (Integrating social responsibility throughout an organization) แล้วยังมีตัวเร่งให้เกิดการทบทวนการดำเนิน CSR คือ มาตรฐานและข้อปฏิบัติด้าน CSR จะถูกถ่ายทอดจากผู้ประกอบการหนึ่งไปสู่อีกผู้ประกอบการหนึ่งในสายอุปทาน ต่างๆ เป็นทอดๆ

อีกทั้ง ทำให้ธุรกิจที่ต้องพึ่งพิงอยู่กับสายอุปทาน โดยเฉพาะผู้ส่งออกนำเข้า ต้องถูกบังคับใช้หรือถูกเรียกร้องให้ใช้มาตรฐานและข้อปฏิบัติด้าน CSR เหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต่างต้องปรับตัวและรับมือกับมาตรฐานเหล่านั้น หากยังต้องการที่จะค้าขายหรือดำเนินธุรกิจในสายอุปทานนั้นๆ ต่อไป

ขั้นสาม โครงสร้าง (Structure) จากเดิมที่ดำเนินการเป็นแผนก ก็ควรปรับสู่ระดับให้เกี่ยวข้องทั้งระบบและคนทั่วทั้งองค์กร (From Department to Alignment) ดร.อธิบาย บอกว่า ในช่วงที่ผ่านมา องค์กรหลายแห่งได้มีการจัดตั้งคณะทำงาน หน่วยงาน หรือแผนกที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในการดำเนินเรื่องของ CSR โดยตรง โดยปัญหาหนึ่งที่พบบ่อย คือ มีพนักงานบางส่วนที่ยังไม่รู้ และไม่เข้าใจว่า CSR คืออะไร และเกิดคำถามขึ้นภายในใจว่า ทำไมจะต้องทำ CSR ? ทำ CSR แล้วจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ?

อีกทั้งบางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง CSR มาบ้าง แต่ก็คิดว่า CSR เป็นเรื่องของการทำกิจกรรมเพื่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองโดยตรง และเมื่อมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ตนเองจะต้องรับรู้ และเข้าไปมีส่วนร่วม

นอกจาก นี้ หน่วยงานหรือแผนกที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่อง CSR นั้น ไม่ได้ให้ความรู้ความเข้าใจ และให้พนักงานเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำ CSR และรับรู้ถึงสิ่งที่องค์กรกำลังทำ ก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อผลสำเร็จในการดำเนิน CSR ขององค์กร และต่อการบรรลุถึงเป้าประสงค์ด้าน CSR โดยรวม

ดังนั้น การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินงานในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม จาก Department สู่ Alignment จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยแทนที่จะให้เป็นเรื่องเฉพาะของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หรือ แผนกใดแผนกหนึ่ง CSR ควรจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกระดับ ทุกแผนก ตลอดจนถึงพนักงานทุกคนในองค์กร องค์กรจะต้องมีการสื่อสารให้พนักงานมีความรู้ ความเข้าใจไปในแนวทางเดียวกัน ตั้งแต่ผู้บริหารระดับบนไปจนถึงพนักงานระดับล่าง

'เมื่อพนักงานมี ความรู้ ความเข้าใจ และได้มีส่วนร่วมในการทำ CSR ประโยชน์ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะส่งผลกลับสู่พนักงานไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพแวดล้อมในการทำงาน รวมถึงการปลูกฝังให้พนักงานมีคุณธรรม จริยธรรม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเคารพในสิทธิส่วนบุคคล และทำงานในหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ รวมไปถึงการช่วยเหลือชุมชน สิ่งแวดล้อม เป็นต้น'

ในขณะเดียวกัน องค์กรก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน องค์กรสามารถดำเนินโครงการ CSR ได้ประสบผลสำเร็จ เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อองค์กรเองและต่อสังคม มากไปกว่านั้น นอกจากการเป็นองค์กรที่ประสบผลสำเร็จในด้านการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังทำให้เป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อถือ ความไว้วางใจ เป็นที่ยอมรับของสังคม และเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน

ขั้นสี่ กลยุทธ์ (Strategy)ไปสู่แนวความคิดสร้างสรรค์ จากเดิมเป็นเพียงการตอบสนอง (From Responsive to Creative) ทั้งนี้ หากพิจารณา CSR ให้ลึกซึ้ง การมองเพียงแค่ความรับผิดชอบต่อสังคมแบบผ่านๆ กล่าวคือ เมื่อเกิดปัญหาหรือผลเสียขึ้นแล้วค่อยมีการเข้าไปเยียวยา ฟื้นฟูและแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดข้อเรียกร้องหรือปัญหาที่ตามมากับองค์กรและต้องการให้สังคม มององค์กรของตนว่าเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบคงไม่เพียงพอในปัจจุบัน และยังเป็นวิธีการดำเนิน CSR ในเชิงตอบสนอง (Responsive CSR) หรือรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงเข้าไปแก้ไขอาจส่งผลเสียหายที่ใหญ่หลวงต่อสังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงต่อตัวองค์กรเองด้วย ดังกรณีที่เกิดขึ้นในพื้นที่มาบตาพุด เป็นต้น

'กิจกรรม CSR ภายใต้กลยุทธ์นี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีปัญหาหรือผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจไปสู่สังคม หรือสังคมมีการเรียกร้องให้กิจการดำเนินความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมต่อผล กระทบเหล่านั้น เป็นการผลักดันให้มีการริเริ่มดำเนินงาน CSR จากผู้มีส่วนได้เสียที่อยู่ภายนอกองค์กร ซึ่งเสี่ยงต่อการได้รับคำติมากกว่าคำชม หรือทำแล้วมีโอกาสเสียมากกว่าได้ อย่างดีก็แค่เสมอตัว ดังนั้น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้าน CSR เป็นเชิงรุกหรือการป้องกันน่าที่จะให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีกว่า เชิงรับหรือการแก้ไขเยียวยา'

ดังนั้น การดำเนิน CSR เชิงสร้างสรรค์ (Creative CSR) จึงเป็นสิ่งที่สังคมกำลังต้องการเห็นจากองค์กรต่างๆ เพราะเป็นการมองถึงคุณค่าเดียวกันทั้งกิจการและสังคมด้วยการลดอัตตาของตน หันมาคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมิได้มองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน ร่วมมือกันและพิจารณาว่าจะใช้ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจที่องค์กรมีอย่างไร จึงจะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้อย่างตรง จุด การดำเนิน CSR ในเชิงสร้างสรรค์จะก่อให้เกิดความคิดที่หลากหลาย เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ด้าน CSR พัฒนาให้เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น (Cohesiveness) ระหว่างผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ และส่งผลให้องค์กรมีความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ

ขั้นที่ห้า การดำเนินงาน (Performance) มุ่งเน้นตอบโจทย์ชีวิตหรือสังคมอย่างจริงจัง มากกว่าการพูดหรือคิดเท่านั้น(From Lip Service to Live Service) ผู้เชี่ยวชาญด้านซีเอสอาร์ คนเดิม บอกอีกว่า พฤติกรรมของคนในสังคม เรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมความเคยชิน ที่วันๆ นั้นได้ดำเนินชีวิตไปอย่างสบายอารมณ์โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งรอบข้างที่ กำลังจะหมดไป เห็นได้ชัดเจนว่าคนส่วนใหญ่มักจะเอาแต่คิดและพูดเพียงเท่านั้น โดยปราศจากการลงมือทำหรือนำมาปฏิบัติ

โดยเฉพาะการทำ CSR ออกสื่อประชาสัมพันธ์เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้มาสนใจในตัวผลิตภัณฑ์และตัวองค์กรธุรกิจ มีให้เห็นตามโฆษณาอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะการหักสตางค์ออกจากตัวสินค้าเพื่อนำไปบริจาค หรือทำการปลูกป่า แต่ถามว่ามีใครตามไปติดตามผลการดำเนินการหลังจากนั้นรึไม่ แล้วจะหาข้อสรุปได้อย่างไรว่าองค์กรได้ไปทำประโยชน์เพื่อสังคมจริง

'องค์กร ธุรกิจส่วนใหญ่มักจะหยิบเอาคำๆ นี้ ไปใช้อ้างในทางที่ไม่ถูกนักตามกระแส เพราะคำนึงถึงแต่จะเพิ่มผลกำไรให้กับตนเอง โดยทำการประชาสัมพันธ์กันใหญ่โต แต่ข้อมูลจริงๆ กลับลงมือทำเพื่อสังคมเพียงไม่เท่าไร การที่ทำแบบนี้ส่งผลในระยะยาวที่ว่าสาธารณชนอาจจะเกิดข้อสงสัยในตัววัตถุ ประสงค์ของตัวองค์กรธุรกิจในภายหลังได้'

ดร.พิพัฒน์ ให้ทัศนะอีกว่า การลงมือทำที่ว่ายากนั้นเพราะคนส่วนใหญ่คิดแต่ว่าการที่จะริเริ่มลงมือทำ อะไรมักจะหวังซึ่งผลตอบแทนและผลประโยชน์ที่จะได้กลับมาอยู่เสมอจึง ทำให้ไม่มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในสังคมซักที และได้เข้าไปเกี่ยวเนื่องกับหัวข้อนี้ที่ว่า คนเรามักจะดีแต่คิดและพูด แต่จะให้เปลี่ยนมาเป็นการกระทำให้ดีนั้นจะต้องทำอย่างไร

ดังนั้น การที่จะมีความรับผิดชอบหรือการทำ CSR อย่างถูกต้องได้นั้น ควรหันกลับมามองและคิดทบทวนแล้วว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร โดยรู้ดีอยู่แก่ใจว่าได้ทำความเดือดร้อนอะไรไว้กับสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง มากแค่ไหน หากเอาแต่คิดและพูดแล้วยืนอยู่เฉยๆ รอให้คนอื่นเริ่มทำแบบนั้นดีแล้วหรือเราสมควรที่จะลงมือทำเพื่อสิ่งรอบข้าง ตั้งแต่บัดนี้เพื่ออนาคตของพวกเราทุกคน

ขั้นหก ตัวชี้วัด (Measure) ควรมองที่ผลลัพธ์ (From Output to Outcome) มักมีคำถามเกิดอยู่เสมอว่า การทำ CSR สามารถวัดผลได้หรือไม่? โครงการหรือกิจกรรมที่องค์กรจัดทำขึ้นสังคมได้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด? กิจกรรมเพื่อสังคมที่มีอยู่ในสังคมมีความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด? จำเป็นหรือไม่ที่ต้องวัดผลในเมื่อเป็นเรื่องของ CSR? แล้วถ้าจะวัดผลควรจะวัดอย่างไร คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่หลายๆองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่อง CSR มีความสงสัยไม่มากก็น้อย หากมองในสองสามปีที่ผ่านมามีกิจกรรม CSR เกิดขึ้นในสังคมเป็นจำนวนมาก แต่ผลสำเร็จที่คาดหวังไว้กลับไม่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ควรจะเป็น ผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการวัดผลกิจกรรม CSR ที่ควรจะเป็น นำไปสู่การมองที่ผลลัพธ์ (Outcome)

'การเปลี่ยนโฟกัส จากผลผลิต(Output) ไปสู่ผลลัพธ์(Outcome) จะเป็นการส่งมอบผลประโยชน์ให้แก่สังคมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การใช้ทรัพยากรขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการวัดผลผลิต (Output) เป็นการวัดผลที่เกิดขึ้นหลังจากการดำเนินกิจกรรมของโครงการสิ้นสุดลง เป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงประสิทธิภาพ (Efficiency) เพื่อวัดความสัมพันธ์ของทรัพยากรที่ใช้กับผลงานหรือผลผลิตที่ได้รับ

ส่วน การวัดผลลัพธ์ (Outcome) เป็นการวัดผลที่ได้รับจากผลของการดำเนินงานซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายทั้งในเรื่องความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมหรือการปฏิบัติ โดยนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือเป้าหมายที่วางไว้ตามวัตถุประสงค์ของแผนงาน และโครงการ กล่าวคือเป็นการวัดประสิทธิผล (Effectiveness) โดยวัดความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์กับวัตถุประสงค์ของงาน'

ขั้นที่เจ็ด การเปิดเผยข้อมูล (Disclosure) ควรมุ่งรายงานสู่สาธารณมากกว่าการทำประชาสัมพันธ์กิจกรรมองค์กร (From Public Relation to Public Reporting) ทั้งนี้การประชาสัมพันธ์ ถือเป็นการจัดการขององค์กรในอันที่จะสร้างสัมพันธภาพอันดีกับผู้รับ ข่าวสารกลุ่มต่างๆ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าการประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันก็ยังคงต้องอยู่ ภายใต้การแข่งขันที่สูงมากขององค์กรอยู่ดี ทำให้เกิดการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่มากมายในแต่ละองค์กรที่ล้วนแล้วแต่จะเน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อ องค์กรด้านเดียวเท่านั้น

แต่ก็ขาดการสื่อสารรายงานข้อเท็จจริงที่ ครอบคลุมอย่างรอบด้านขององค์กร (Public Reporting) ที่มีผลต่อสาธารณชนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การปิดบังความเสียหายบางอย่างที่เกิดจากกระบวนการทางธุรกิจซึ่งส่งผลกระทบ ต่อสาธารณชน หรือ การเปิดเผยด้านที่ดีขององค์กรต่อสาธารณชนมากเกินความพอดีจนทำให้สาธารณชน เกิดข้อสงสัยว่าสิ่งที่องค์กรประชาสัมพันธ์ออกมานั้น เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่

'เมื่อสาธารณชนเกิดข้อสงสัยที่มากขึ้น และความไว้วางใจที่น้อยลงต่อภาพลักษณ์ขององค์กร (Brand Image) ทำให้เกิดคำถามต่อไปว่าแนวทางในการทำประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันขององค์กร ธุรกิจควรจะเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางรูปแบบไหน คำตอบ คือ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการสื่อสารทั้งสองทาง นั่น ก็คือ การที่องค์กรต้องมีความโปร่งใส (Transparency) ที่พร้อมจะให้สังคม หรือองค์กรต่างๆ ของภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบองค์กรเพื่อที่จะสามารถวัดได้ว่าสิ่ง ที่องค์กรสื่อสารออกมานั้นเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งหากองค์กรสามารถสื่อสารตามข้อเท็จจริงได้ทั้งสองทางอย่างสมบูรณ์แล้ว นั้นก็จะเป็นการสร้างทั้งความน่าเชือถือและภาพพจน์ที่ดีขององค์กรอย่าง ยั่งยืนอีกด้วย'


Credit by http://www.thaicsr.com/2010/02/7-csr.html , www.smartbiz.nu